วันอาทิตย์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

หอพระแก้ว : อดีตพุทธสถานแห่งศรัทธา

 

หอพระแก้ว : อดีตพุทธสถานแห่งศรัทธา

 

          ถ้าพูดถึงพระคู่บ้านคู่เมืองของประเทศไทย หนึ่งในชื่อที่ถูกพูดถึงคือ พระแก้วมรกตอย่างแน่นอน ซึ่งพระแก้วมรกตนั้นถูกสร้างไว้ไม่ต่ำกว่า 400 ปีแล้ว ทั้งยังเคยประดิษฐานในประเทศเพื่อนบ้านอย่างประเทศลาวกว่า 200 ปี ทำให้พระแก้วมรกตนั้นเป็นพระพุทธรูปที่คนลาวให้ความเคารพนับถือ ซึ่งสถานที่ที่เคยประดิษฐานพระแก้วมรกตนั้นคือ หอพระแก้ว


          หอพระแก้วตั้งอยู่ที่เมืองเวียงจันทน์ ประเทศลาว ถูกสร้างขึ้นในปี 1565 โดยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช สถาปัตยกรรมเป็นรูปแบบของล้านช้าง ซึ่งในอดีตเคยเป็นวัดประจำราชวงศ์ของลาว ชื่อของหอพระแก้ว หมายถึง สถานที่ที่ถูกใช้ประดิษฐานพระแก้วมรกต

          พระแก้วมรกตนั้นในอดีตประดิษฐานอยู่ที่อาณาจักรล้านนา เมื่อพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชได้ไปปกครองที่ล้านนาได้เกิดศรัทธาต่อพระแก้วมรกต เมื่อได้กลับมายังอาณาจักรล้านช้างจึงได้อัญเชิญพระแก้วมรกตมาด้วย และประดิษฐานอยู่ที่ประเทศลาวกว่า 200 ปี ก่อนที่กองทัพสยาม ที่มีพระเจ้าตากสินมหาราชปกครองในขณะนั้น ได้ส่งแม่ทัพคนสำคัญคือ สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกยกทัพไปตีล้านช้างจนได้รับชัยชนะ และได้อัญเชิญพระแก้วมรกตมาที่กรุงธนบุรี ภายหลังจากที่เปลี่ยนยุคสมัยจากธนบุรีเป็นรัตนโกสินทร์ สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก หรือสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกผู้เป็นปฐมราชวงศ์จักรี ได้อัญเชิญพระแก้วมรกตมาประดิษฐานที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือวัดพระแก้ว พระแก้วมรกตจึงได้ประดิษฐานอยู่ที่วัดแห่งนี้จนถึงปัจจุบัน

ที่มา https://lifestyle.campus-star.com/knowledge/4942.html


          หอพระแก้วในปัจจุบัน ไม่ใช่สิ่งก่อสร้างดั้งเดิม แต่เป็นสิ่งก่อสร้างที่สร้างขึ้นใหม่ในปี 1937 โดยเจ้าสุวรรณภูมาเป็นผู้ควบคุมการก่อสร้าง ซึ่งจบมาจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ ประเทศฝรั่งเศส อาคารดั้งเดิมนั้นทำจากไม้ และมีการแกะสลักลวดลายที่งดงาม แต่ในช่วงสงครามได้ถูกไฟไหม้ถึง 2 ครั้ง ทำให้เกิดความเสียหายอย่างหนัก จนไม่สามารถบูรณะซ่อมแซมได้ จึงสร้างขึ้นมาใหม่แทนที่อาคารหลังเดิม

ที่มา https://lifestyle.campus-star.com/knowledge/88402.html


          ในปัจจุบันหอพระแก้วเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงเกี่ยวกับโบราณวัตถุ พระพุทธรูปตั้งแต่สมัยล้านช้าง รวมถึงจัดแสดงสิ่งของจากราชวงศ์ของลาวในอดีต โดยมีค่าเข้าชม 5,000 กีบ และเปิดให้บริการทุกวันในเวลา 08.00 - 12.00 น. และ 13.00 – 16.00 น. โดยไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปภายในตัวอาคาร ถ่ายได้เฉพาะบริเวณรอบนอกเท่านั้น

ที่มา https://lifestyle.campus-star.com/knowledge/88402.html


          แม้ที่หอพระแก้วจะไม่มีพระแก้วมรกตอยู่แล้ว ก็ไม่ได้เปลี่ยนชื่อเป็นชื่ออื่นแต่อย่างใด แสดงให้เห็นถึงความศรัทธาของคนลาวที่ยังคงมีต่อพระแก้วมรกตไม่เสื่อมคลาย แม้จะผ่านไป 200 กว่าปีแล้วที่พระแก้วมรกตถูกอัญเชิญไปประดิษฐานที่ประเทศไทย

 

 



อ้างอิง

          โอเชี่ยนสไมล์ทัวร์. (ม.ป.ป.). หอพระแก้ว เวียงจันทร์ : "อดีตเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกต". ค้นเมื่อ 22 ตุลาคม 2564. จาก http://www.oceansmile.com/Lao/HoPhakeaw.htm

         bonboy. (2556). หอพระแก้ว และ วัดสีสะเกด (เที่ยวลาว เวียงจันทน์). ค้นเมื่อ 22 ตุลาคม 2564. จาก https://travel.mthai.com/world-travel/62737.html

          MGR Online. (2556). “หอพระแก้ว” โทรมหนักลาวกางแผนบูรณะใหญ่ในรอบ 70 ปี. ค้นเมื่อ 22 ตุลาคม 2564. จาก https://mgronline.com/indochina/detail/9560000089102






วันอังคารที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2564

ภูเขาโปปา : เขาพระสุเมรุแห่งอาณาจักรพุกาม

 

ภูเขาโปปา : เขาพระสุเมรุแห่งอาณาจักรพุกาม

 

          ประเทศเพื่อนบ้านที่มีอาณาเขตติดกับเรานั้นมีหลายประเทศไม่ว่าจะเป็นประเทศมาเลเซีย ลาว กัมพูชา และอีกประเทศคือเมียนมานั้นเอง ซึ่งประเทศเมียนมาก็มีวัฒนธรรมหลายอย่างที่คล้ายกับประเทศไทย โดยเฉพาะการนับถือศาสนาพุทธ แต่ศาสนาพุทธในเมียนมานั้นถือว่านับถือมาอย่างยาวนานตั้งแต่สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช และพุทธศาสนาก็ได้หยั่งลึกลงไปในจิตใจของชาวเมียนมา ทำให้ศาสนาพุทธเจริญรุ่งเรือง ตลอดจนมีการทำนุบำรุงศาสนามาอย่างดี ซึ่งถือได้ว่าชาวเมียนมาเป็นผู้ที่เคร่งครัดในศาสนามาก ในประเทศเมียนมาจึงมีสถานที่ท่องเที่ยวที่เกี่ยวกับพุทธศาสนาเป็นจำนวนมาก เช่น เจดีย์ชเวดากองที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก แต่ในบล็อกนี้จะพาทุกท่านมารู้จักกับภูเขาโปปา พุทธศาสนสถานบน(อดีต)ยอดภูเขาไฟ ซึ่งถือว่าเป็นสถานที่สำคัญตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน


          ภูเขาโปปาตั้งอยู่ที่เขตเมืองมัณฑะเลย์ ภูเขานี้มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 1,518 เมตร ในอดีตเคยเป็นภูเขาไฟมาก่อน แต่ปัจจุบันกลายเป็นภูเขาไฟที่ดับสนิทแล้ว โดยการปะทุครั้งสุดท้ายคือเกือบ 2,500 ปีมาแล้ว ดังนั้นใครที่อยากจะมาเที่ยวก็ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการปะทุของภูเขาไฟเลย

ที่มา https://www.klook.com/es/activity/3441-wonders-of-salay-mt-popa-day-tour-bagan/


          คำว่า โปปา มาจากภาษาบาลี-สันสกฤตแปลว่าดอกจำปา เนื่องจากที่นี่เคยมีต้นจำปาเป็นจำนวนมาก และยังมีอีกชื่อคือ มหาคีรีนัต เพราะที่ว่าที่นี่เป็นที่อยู่ของนัต 37 ตน (นัต คือวิญญาณที่คนเมียนมาเคารพบูชามาตั้งแต่ก่อนที่พุทธศาสนาจะเข้ามา เป็นคนที่ถูกฆ่า หรือทรมานจนวิญญาณไม่ไปสู่สุคติ) โดยนัตจะมีตั้งแต่คนธรรมดา ผู้มีตำแหน่ง รวมทั้งกษัตริย์ นัตสำคัญที่สถิตอยู่ที่แห่งนี้ เช่น นัตตัจจาเมง (พระอินทร์), นัตพระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ เป็นต้น เมื่อพระพุทธศาสนาเข้ามาก็ได้ผสมผสานเข้ากับความเชื่อเรื่องนัต จึงได้มีการสร้างวัดตุง คาลัทอยู่บนภูเขาโปปานี้ด้วย ซึ่งวัดแห่งนี้ถือเป็นวัดที่สำคัญทางพุทธศาสนาอีกด้วย


ที่มา https://travel.mthai.com/world-travel/71916.html


          ภูเขาโปปานี้ถือเป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญที่ปรากฏอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์เมียนมา เพราะภูเขาแห่งนี้เปรียบเสมือนเขาพระสุเมรุที่เป็นศูนย์กลางของจักรวาล ซึ่งส่งผลต่อการเลือกฐานที่ตั้งของอาณาจักรพุกามในอดีต การขึ้นไปภูเขาโปปานั้นต้องเดินขึ้นบันไดไป 777 ขั้น นอกจากจะได้ชมธรรมชาติระหว่างทางแล้ว  ยังมีฝูงลิงกังที่อาศัยอยู่ด้วย และในวันที่อากาศแจ่มใส เมื่อขึ้นไปด้านบนจะสามารถมองเห็นเขตเมืองเก่าเมืองพุกามได้บางส่วน


ที่มา https://travel.mthai.com/world-travel/71916.html


           ภูเขาโปปาเปิดให้เข้าชมในทุกวัน ตั้งแต่เวลา 06.00 น. – 20.00 น. โดยไม่เสียค่าเข้าชม และในเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน จะมีการจัดงานเฉลิมฉลอง เพื่อเป็นการสักการะนัต สำหรับช่วงเวลาที่คนนิยมไปไหว้นัต คือ วันพระจันทร์เต็มดวง เพราะเชื่อว่าเป็นวันที่นัตมีอิทธิฤทธิ์มากที่สุด จึงถือได้ว่าภูเขาโปปาแห่งนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญไม่ควรพลาดมาแวะชมของมัณฑะเลย์ แต่อย่างที่เราทราบกันดีว่าตอนนี้เมียนมาได้ปิดประเทศเนื่องจากเหตุการณ์ทางการเมือง โดยทางเราก็หวังว่าสถานการณ์จะกลับมาเป็นปกติในเร็ววัน และเปิดประเทศให้เข้าไปเที่ยวได้ เพราะเมียนมาถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความสวยงามในด้านสถาปัตยกรรมในพุทธศาสนาที่ต้องไปชมให้ได้สักครั้งในชีวิต

 



          อ้างอิง

oporshady. (2557). ภูเขาโปปา (Mount Popa) ที่สถิตของ มหาคีรีนัต แห่งพุกาม. ค้นเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2564. จาก https://travel.mthai.com/world-travel/71916.html

thaifly. (ม.ป.ป.). ภูเขาโปปา (Mount Popa) กับ มหาคีรีนัต แห่งพุกาม. ค้นเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2564. จาก https://thaifly.com/index.php?_route_=ข้อมูลเที่ยว-Travel-Article&news_id=1197

Webmaster. (2563). ภูเขาโปปา เมืองพุกาม ประเทศพม่า. ค้นเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2564. จาก https://palanla.com/index.php?op=abroadLocation-detail&id=147







วันพฤหัสบดีที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2564

ปราสาทตาพรหม : โบราณสถานที่บูรณะไม่ได้

 

ปราสาทตาพรหม : โบราณสถานที่บูรณะไม่ได้

 

         หากเราจะกล่าวถึงสถานที่ท่องเที่ยวในประเทศกัมพูชา “นครวัด” คงเป็นมรดกโลกชื่อดังที่ใคร ๆ ต้องอยากมาเยี่ยมชมสักครั้ง แต่รู้หรือไม่ ในบริเวณที่ไม่ไกลกันนักยังมีสถาปัตยกรรมในสมัยกษัตริย์องค์อื่นอยู่อีกด้วย ในครั้งนี้เราจะกล่าวถึงสถาปัตยกรรมในสมัยบายน ที่พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 สร้างถวายในพุทธศาสนา ต่างจากกษัตริย์พระองค์อื่นที่สร้างถวายในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ซึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่เราจะกล่าวถึงนี้แม้จะไม่ได้ใหญ่โตเท่านครวัด แต่มีความงามเป็นเอกลักษณ์ จนทำให้นักโบราณคดีเก็บรักษาสภาพเดิมของปราสาทไว้ เพราะไม่สามารถบูรณะด้วยวิธีอนัสติโลซิสได้ (การบูรณะโดยรื้อของเดิมลงมาแล้วทำรหัสไว้ แล้วทำฐานให้แข็งแรง ก่อนที่จะนำชิ้นส่วนมาใส่ที่เดิม และอาจมีชิ้นส่วนใหม่เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรง)


          ปราสาทตาพรหมปัจจุบันตั้งอยู่ที่จังหวัดเสียมราฐ ประเทศกัมพูชา ถูกสร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 18 หรือในปี พ.ศ. 1729 ผู้สร้างคือพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เพื่อสร้างอุทิศให้แก่พระราชมารดา ซึ่งที่แห่งนี้คือราชวิหารในศาสนาพุทธ นิกายมหายาน และในสมัยพระเจ้าอินทรวรมันที่ 2 ก็ได้มีการต่อเติม และดัดแปลงบางส่วนให้กลายเป็นศาสนาพราหมณ์-ฮินดู โดยปราสาทตาพรหมนี้ถูกสร้างให้เป็นคู่กับปราสาทพระขรรค์ เพราะปราสาทพระขรรค์พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ได้สร้างเพื่ออุทิศให้กับพระราชบิดา


          ปราสาทตาพรหมมีพระปรางค์ 36 ปรางค์ ตรงกลายเป็นที่บรรจุศพของพระราชมารดาของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ส่วนพระปรางค์รอบ ๆ เป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูป หน้าบันและทับสลักเล่าเรื่องราวพุทธศาสนา ในนิกายมหายาน แต่บางแห่งถูกดัดแปลงให้เป็นเกี่ยวกับศาสนาพราหมณ์-ฮินดูแทน เพราะกษัตริย์องค์หลังจากพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ แต่กลับไปนับถือศาสนาพราหมณ์-ฮินดูที่เป็นศาสนาที่มีการนับถือมาอย่างยาวนานในอาณาจักรนี้ ในปราสาทตาพรหมจะมีช่องบริเวณผนังเป็นจำนวนมากเพื่อใช้ในการประดับทอง แต่ในปัจจุบันเจ้าหน้าที่ได้นำทองออกไปเก็บรักษาแล้ว และนอกจากนี้ยังพบศิลาจารึกที่กล่าวถึงการสร้างอโรคยศาลาจำนวน 102 แห่งอีกด้วย

          ปราสาทตาพรหมนี้มีเอกลักษณ์ที่สวยงาม เนื่องจากมีต้นไม้ขนาดใหญ่งอกออกมาจากตัวปราสาท ทำให้ตัวปราสาทเสียหายจนไม่สามารถบูรณะได้ เพราะหากตัดต้นไม้ออกไปจะทำให้หินที่ติดกับลำต้นพังถล่มลงมา และอีกสิ่งที่น่าสนใจคือภาพสลักข้างเสากรอบประตูของโคปุระชั้นที่ 3 ด้านทิศตะวันตก เป็นภาพสลักที่คล้ายกับไดโนเสาร์ประดับอยู่ ด้วยความงดงามแต่ดูลึกลับนี้เองทำให้ ปราสาทตาพรหมเคยถูกใช้เป็นฉากในการถ่ายทำหนังชื่อดังเรื่อง Tomb Raider มาแล้ว


ที่มา https://pantip.com/topic/40665641


          ปราสาทตาพรหมเปิดให้เยี่ยมชมทุกวัน ในเวลา 07.30 น. – 17.30 น. สามารถเดินทางโดยรถแท็กซี่ และรถตุ๊กตุ๊ก แม้ปราสาทตาพรหมนี้จะถูกทำลายโดยธรรมชาติจนได้รับความเสียหายเป็นอย่างมาก แต่ธรรมชาตินี้เองก็ช่วยรักษาและอยู่คู่ปราสาทแห่งนี้มากว่า 500 ปี ดังนั้นปราสาทตาพรหมจึงเป็นอีกแห่งที่ไม่ควรพลาดในการไปเดินชมเพื่อดูร่องรอยประวัติศาสตร์ และถ่ายรูปเป็นที่ระลึกเมื่อคุณไปเที่ยวที่กัมพูชา

 



          อ้างอิง

ปราสาทหิน. (ม.ป.ป.). ปราสาทตาพรหม. ค้นเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2564. จาก https://sites.google.com/site/prasathhin/prawati-prasath-hin/prasath-ta-phrhm

ศุภศรุต. (2561). เรื่องเล่าที่ข้างประตู ราชวิหารแห่งปราสาทตาพรหม. ค้นเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2564. จาก http://oknation.nationtv.tv/blog/voranai/2018/03/12/entry-1/comment

โอเชี่ยนสไมล์. (ม.ป.ป.). ปราสาทตาพรหม. ค้นเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2564. จาก http://www.oceansmile.com/KHM/Taphom.htm

Webmaster. (2563).ปราสาทตาพรหม เมืองเสียมราฐ ประเทศกัมพูชา. ค้นเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2564. จาก https://palanla.com/index.php?op=abroadLocation-detail&id=271










วันเสาร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2564

Notre Dame Cathedral: มหาวิหารแห่งเมืองโฮจิมินห์

 

Notre Dame Cathedral: มหาวิหารแห่งเมืองโฮจิมินห์


          Notre Dame Cathedral หรือ มหาวิหารนอร์ทเทอดาม คงเป็นชื่อที่คุ้นหูหลายคนไม่น้อย เพราะเป็นสถาปัตยกรรมที่มีความสวยงาม และเก่าแก่มากในฝรั่งเศส ซึ่งเมื่อประมาณสองปีที่แล้ว เกิดเหตุเพลิงไหม้ในวิหารแห่งนี้จนเป็นข่าวที่ทั่วโลกให้ความสนใจ แต่คุณผู้อ่านรู้หรือไม่ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของเราก็มีมหาวิหารที่มีชื่อเดียวกับมหาวิหารนอร์ทเทอดาม ประเทศฝรั่งเศส อยู่ในประเทศเพื่อนบ้านของเราอย่างเวียดนามนี่เอง


         มหาวิหารนอร์ทเทอดามแห่งนี้ ตั้งอยู่ที่เมืองโฮจิมินห์ หรือเมืองไซง่อน ทางภาคใต้ของประเทศเวียดนาม มหาวิหารแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2420 จนถึง พ.ศ. 2426 รวมระยะเวลาทำการสร้างทั้งหมด 6 ปี โดยในช่วงเวลาที่มหาวิหารนอร์ทเทอดามถูกสร้างนั้น เป็นช่วงที่เวียดนามตกอยู่ภายใต้การเป็นอาณานิคมของประเทศฝรั่งเศส และมีต้นแบบมาจากมหาวิหารนอร์ทเทอดาม ประเทศฝรั่งเศส สถานที่แห่งนี้จึงถือว่าเป็นสถานที่สำคัญของชาวฝรั่งเศสที่อยู่ในเวียดนาม ณ ขณะนั้น รวมถึงชาวเวียดนามที่นับถือศาสนาคริสต์

          การสร้างมหาวิหารนอร์ทเทอดามสร้างในสไตล์นีโอ โรมันเนสก์ ก้อนอิฐที่ใช้นำมาจากเมืองมาร์เซย์ ประเทศฝรั่งเศส โดยมหาวิหารทำจากตัวอิฐสีแดง ตัวตึกมีขนาดใหญ่ มีหอคอยคู่รูปทรงสี่เหลี่ยมที่มีความสูง 40 เมตร ขนาบทั้งสองข้างของตัวตึก หลังคาของหอคอยเป็นทรงแหลมสูงประดับยอดด้วยไม้กางเขนที่ทำจากโลหะ ในอดีต ด้านนอกถูกตกแต่งด้วยกระจกสีจากเมืองชาทร์ ประเทศฝรั่งเศส แต่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 มหาวิหารแห่งนี้ได้รับความเสียหายอย่างหนัก ทำให้กระจกสีแตกเสียหายจนหมด แม้ในปัจจุบันมหาวิหารนอร์ทเทอดามจะได้รับการบูรณะจนกลับมาสวยงามดั่งเดิม แต่ด้านนอกไม่ได้มีการนำกระจกสีมาประดับตกแต่งเช่นเดิม

ที่มา https://tourkrub.co/tours/6741-vietnam-ho-chi-minh-city-4d3n-vj.html


          ด้านหน้าของมหาวิหารมีรูปปั้นแกะสลักสีขาวของพระแม่มารีตั้งอยู่บนฐานสูง เป็นจุดถ่ายรูปยอดนิยมของนักท่องเที่ยว เพราะเมื่อถ่ายออกมาจะมีรูปปั้นที่แกะสลักไว้อย่างสวยงามอยู่ด้านหน้า และมีฉากหลังเป็นมหาวิหารนอร์ทเทอดาม ซึ่งที่รูปปั้นของพระแม่มารีจะเป็นจุดที่คนมาไหว้ขอพรตลอด และในคืนวันศุกร์จะมีผู้คนรวมตัวกันมาสวดมนต์บริเวณด้านหน้าของรูปปั้นอย่างคับคั่ง

ที่มา https://vovworld.vn/th-TH/ทองเทยว/คนหาสถาปตยกรรมทงดงามของโบถสดกบานครโฮจมนห-341039.vov


          มหาวิหารนอร์ทเทอดามแห่งนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์กของเมืองโฮจิมินห์ที่ควรแวะมาเที่ยวชม โดยมหาวิหารจะเปิดให้เข้าชมทุกวันในเวลา 09.00 น. – 16.00 น. และในวันอาทิตย์เวลา 09.30 น. จะมีการพิธีมิสซาที่จัดขึ้นทุกสัปดาห์ ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถเข้าร่วมในพิธีได้ และไม่มีค่าใช้จ่ายในการชม นอกจากนี้ด้านข้างของมหาวิหารนอร์ทเทอดามมีไปรษณีย์กลางที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่งดงามด้านสถาปัตยกรรมไม่แพ้มหาวิหารนอร์ทเทอดาม ซึ่งสร้างในช่วงเวลาเดียวกัน สามารถเข้าไปส่งโปสการ์ด และซื้อของที่ระลึกได้

ห้องสวดมนต์ ที่มา https://intrend.trueid.net/article/เที่ยวโบสถ์นอทเทอร์ดัม-สถาปัตยกรรมฝรั่งเศสแห่งเมืองโฮจิมินห์-trueidintrend_42985




          อ้างอิง

กรกฎ พัลลภรักษา. (2554). ไซง่อนซ่อนรูป. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์วงกลม.

Malathai. (2563). เที่ยวโบสถ์นอทเทอร์ดัม สถาปัตยกรรมฝรั่งเศสแห่งเมืองโฮจิมินห์. สืบค้นวันที่ 19 สิงหาคม 2564. จาก https://intrend.trueid.net/article/เที่ยวโบสถ์นอทเทอร์ดัม-สถาปัตยกรรมฝรั่งเศสแห่งเมืองโฮจิมินห์-trueidintrend_42985

World Wide Note. (ม.ป.ป.). โบสถ์นอร์ทเธอดาม. สืบค้นวันที่ 19 สิงหาคม 2564. จาก http://worldwidenote.com/th/Vietnam/Ho%20Chi%20Minh%20City/Th-Saigon_Notre_Dame_Cathedral.htm
























วันศุกร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2564

โฮโมอีเร็กตัส : มนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ผู้ริเริ่มการใช้ไฟ

 

โฮโมอีเร็กตัส : มนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ผู้ริเริ่มการใช้ไฟ

 

          “มนุษย์เป็นสัตว์ที่ฉลาดที่สุดในโลก” เป็นประโยคที่คงจะคุ้นหูหลายคนไม่น้อย แต่รู้หรือไม่ก่อนที่มนุษย์จะกลายเป็นสัตว์ที่ฉลาดอย่างทุกวันนี้ย่อมต้องผ่านวิวัฒนาการมากว่าหลายหมื่น หลายแสนปี และในบทความนี้จะกล่าวถึงมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ ซึ่งสปีชีส์ของมนุษย์มีหลากหลาย แต่ในบล็อกนี้เราจะมากล่าวถึงโฮโมอีเร็กตัส ที่มีการสันนิษฐานว่าเป็นผู้ริเริ่มนำไฟมาใช้


          โฮโมอีเร็กตัส (Homo erectus) หมายถึง มนุษย์ที่ยืนตรง ซึ่งค้นพบหลักฐานซากบรรพชีวินครั้งแรกที่เกาะชวา ประเทศอินโดนีเซีย โดยอูจีน ดูบัวส์ ในปี ค.ศ. 1891 ซึ่งกระดูกที่พบคือกะโหลกศีรษะ และชิ้นส่วนกระดูกต้นขา อูจีน ดูบัวส์จึงให้ชื่อว่า “พิธิแคนโทรปัส อีเร็กตัส” แปลว่ามนุษย์วานรที่เดินตัวตรง เพราะหลักฐานสองชิ้นนี้ที่พบ ทำให้เขาสันนิษฐานว่าเป็นกระดูกของสัตว์ที่มีลักษณะคล้ายลิงแต่ไม่มีหาง และสามารถเดินสองขาได้ หรืออีกชื่อที่ถูกเรียกคือ “มนุษย์ชวา” เพราะเรียกตามแหล่งที่ค้นพบ ต่อมาได้มีการค้นหาหลักฐานกันมากขึ้น จนพบทั้งในประเทศจีนที่ถ้ำโจวโกวเตียน ใกล้เมืองปักกิ่ง จึงถูกตั้งชื่อว่า “ซีแนนโทรปัส เปกินเนนซิส” แปลว่ามนุษย์จีน แห่งปักกิ่ง หรือเรียกอีกอย่างว่า “มนุษย์ปักกิ่ง” ส่วนในประเทศไทยก็มีการค้นพบชิ้นส่วนกะโหลกโฮโมอีเร็กตัสเช่นเดียว จึงได้ให้ชื่อว่า “มนุษย์ลำปาง” เป็นชื่อตามแหล่งค้นพบคือที่จังหวัดลำปางนั้นเอง

ภาพกะโหลกศีรษะของมนุษย์ชวา ที่มา https://www.worldhistory.org/image/6267/homo-erectus-skull-cast-from-java-indonesia/


          หลักฐานที่เก่าแก่ที่สุดที่ค้นพบมีอายุประมาณ 1.9 ล้านปีก่อน ส่วนหลักฐานที่ใหม่ที่สุดมีอายุประมาณ 27,000 ปี ซึ่งสันนิษฐานว่าต้นกำเนิดของโฮโมอีเร็กตัสคือแอฟริกา เพราะพบซากบรรพชีวินที่มีอายุเก่าแก่ที่สุด หลังจากนั้นจึงได้อพยพมาที่จอร์เจีย ลังกา จีน และชวา จะเห็นได้ว่าโฮโมอีเร็กตัสมีการปรับตัวจนดำรงเผ่าพันธุ์ของตนเองได้เป็นล้านปี ในบางทฤษฎีเชื่อว่าโฮโมอีเร็กตัสสามารถต่อเรือเพื่ออพยพได้ เพราะในบางพื้นที่อย่างเกาะครีต เกาะฟลอเรสของอินโดนีเซียที่พบหลักฐานเกี่ยวกับมนุษย์โบราณที่เชื่อว่ามีบรรพบุรุษจากโฮโมอีเร็กตัส ซึ่งการจะเดินทางไปถึงเกาะนี้ได้นั้น ต้องอาศัยการใช้เรือเพราะบริเวณมหาสมุทรนั้นมีกระแสน้ำที่รุนแรง แต่ในบางทฤษฎีกล่าวถึงการอพยพของโฮโมอีเร็กตัสด้วยการเดิน เพราะในยุคสมัยนั้นน้ำทะเลยังไม่สูงอย่างในปัจจุบัน ทำให้มีพื้นดินที่เชื่อมโยงกันอยู่

          โฮโมอีเร็กตัสมีลักษณะรูปร่างที่ค่อนข้างสูงคล้ายคลึงกับมนุษย์ยุคปัจจุบันมากกว่าสปีชีส์โฮโมอื่น ๆ ก่อนหน้านี้ ลักษณะของกะโหลกมีขนาดใหญ่กว่าโฮโมแฮบิลิส และด้านหน้ากะโหลกจะแคบกว่าโฮโมเซเปียนส์ ทำให้โฮโมอีเร็กตัสมีขนาดสมองประมาณ 40% ของมนุษย์ปัจจุบัน มีกระดูกคิ้วที่โปนขึ้น ใบหน้ามีฟันยื่นออกมา ฟันและขากรรไกรล่างมีขนาดใหญ่กว่ามนุษย์ปัจจุบัน บางกลุ่มที่พบในเอเชียมีลักษณะกะโหลกโปน และจมูกแบน

ที่มา https://www.worldhistory.org/Homo_Erectus/


          วิถีชีวิตของโฮโมอีเร็กตัสจะหาอาหารโดยการเก็บพืชผัก และล่าสัตว์ ซึ่งมีหลักฐานที่พบแหล่งกระดูกขนาดใหญ่ และจากรอยฟันที่สึกก็เป็นหลักฐานว่าโฮโมอีเร็กตัสเป็นสัตว์กินเนื้อ ทั้งยังพบเครื่องมือที่ใช้แล่เนื้อ เรียกว่า “อาชูเลียน” เป็นเครื่องมือหินที่ถูกกะเทาะทั้งสองด้าน หรือเป็นขวานมือนั้นเอง ซึ่งเครื่องมือนี้เหมาะสำหรับแล่หนังและเนื้อสัตว์ขนาดใหญ่ นอกจากเครื่องมืออาชูเลียนแล้ว ยังปรากฏเครื่องมืออย่างอื่นอีกด้วย เช่น เครื่องมือขูด เครื่องมือเจาะ และเครื่องมือขุด

เครื่องมือหินแบบอาชูเลียน ที่มา http://www.thapra.lib.su.ac.th/e-book/development/chapter7.pdf


          โฮโมอีเร็กตัสส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในถ้ำ เช่น ถ้ำโจวโกวเตียน ประเทศจีน แต่ในบางพื้นที่ก็พบหลักฐานในบริเวณที่เป็นพื้นที่กลางแจ้ง เช่น แหล่งชาเล ในประเทศโมร็อกโก ทั้งยังพบร่องรอยของเตาไฟ ทำให้เกิดข้อสันนิษฐานว่า โฮโมอีเร็กตัสรู้จักการใช้ไฟ นอกจากไฟจะถูกนำมาปรุงอาหารให้สุก และป้องกันสัตว์ไม่ให้เข้าใกล้แล้ว ยังมีการค้นพบเศษเครื่องปั้นดินเผาที่มีอายุ 1.42 ล้านปี ซึ่งกระบวนการทำต้องผ่านการเผาไฟก่อนอีกด้วย

ที่มา https://lifestyle.campus-star.com/scoop/131005.html


          ในปัจจุบันโฮโมอีเร็กตัสถือว่าเป็นสปีชีส์ที่สูญพันธุ์ไปแล้ว ดร. เซรี ชิปตัน นักโบราณคดี ได้ให้เหตุผลถึงการการสูญพันธุ์ของโฮโมอีเร็กตัส เป็นเพราะความขี้เกียจ ไม่พยายามปรับตัว ไม่พัฒนาเครื่องมือ ทั้งไม่ยอมอพยพแม้แหล่งน้ำแห้งคอดไปแล้ว แต่อย่างไรก็ตามในความคิดเห็นของผู้เขียนมองว่า โฮโมอีเร็กตัสเป็นนักเดินทางที่แข็งแกร่งมาก ๆ เพราะหลักฐานของการเคยอาศัยอยู่ได้กระจายไปเกือบจะทุกทวีปบนโลก ทั้งยังรู้จักใช้ไฟให้เป็นประโยชน์ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งก้าวที่สำคัญของวิวัฒนาการของมนุษย์เลยก็ว่าได้

 


          อ้างอิง

ม.ป.ป. . (ม.ป.ป.). บทที่ 7 บรรพบุรุษของมนุษย์สกุล โฮโม. ค้นเมื่อ 4 สิงหาคม 2564.

          จาก http://www.thapra.lib.su.ac.th/e-book/development/chapter7.pdf

BBC NEWS. (2561). ชี้มนุษย์โบราณ “โฮโม อีเร็กตัส” รู้จักล่องเรือและใช้ภาษา. 

            ค้นเมื่อ 2 สิงหาคม 2564. จาก https://www.bbc.com/thai/features-43140426

BBC NEWS. (2561). มนุษย์โบราณโฮโม อีเร็กตัส สูญพันธุ์เพราะ “ขี้เกียจ”.

            ค้นเมื่อ 2 สิงหาคม 2564. จาก https://www.bbc.com/thai/features-45232934